“แพนเค้กราดซอสราสป์เบอร์รี่” หวานนุ่มอร่อยได้ไม่ต้องพึ่งเตาอบ การฝึกหัดทำขนมหวานเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้คนไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังเป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์โดยมีผลตอบแทนแรงกายด้วยขนมหวานของพวกเราเอง เมื่อเริ่มฝึกฝนจนชำนาญขนมหวานที่เคยลองหัดทำเล่นๆ อาจกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถต่อยอดเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับพวกเราต่อไปสักวันหนึ่ง ดังนั้นผู้เขียนจึงมาบอกเล่าวิธีการทำขนมหวานให้น่ารับประทานกัน

ความเป็นมาของขนมแพนเค้ก
เมื่อรับชมภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมักมีขนมแพนเค้กประกอบอยู่ในฉากไม่มากก็น้อยคล้ายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของประเทศสหรัฐฯเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ดีขนมดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่อารยธรรมกรีกโบราณหรือประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ระหว่างพัฒนาการของแพนเค้กเมื่อศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงที่เบกกิ้งโซดายังไม่ถูกคิดค้นผู้คนเคยใช้หิมะที่เพิ่งตกจากฟ้าแทน

วัตถุดิบ:
- แป้งอเนกประสงค์ 2 ถ้วย
- ครีมชีสนุ่ม 250 กรัม
- เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
- ผงฟู 2 ช้อนชา
- โยเกิร์ตรสดั้งเดิม 250 กรัม
- น้ำเลมอน 1 ช้อนโต๊ะ
- นมจืด 1¼ ถ้วย
- เนยจืดละลาย 2 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย
- เกลือ ½ ช้อนชา
ซอสราสป์เบอร์รี่:
- น้ำเลมอน 1 ช้อนชา
- ราสป์เบอร์รี่สด 250 กรัม
- น้ำตาล 100 กรัม
- เกลือ 1/8 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการปรุง
ขั้นที่ 1
เตรียมภาชนะเพื่อแยกไข่ขาวและไข่แดงผ่านตะแกรง
ขั้นที่ 2
เมื่อเสร็จจึงผสมไข่แดง นมจืด โยเกิร์ต ครีมชีส น้ำตาล น้ำเลมอน เนย และนมสด ขั้นที่ 3 แยกภาชนะอีกใบเพื่อผสมเกลือ ร่อนแป้งอเนกประสงค์ เบกกิ้งโซดา และผงฟูผ่านตะแกรง
ขั้นที่ 4
นำส่วนผสมจากทั้งสองภาชนะมาผสมให้เข้ากันด้วยตะกร้อผสมอาหาร จนสังเกตแล้วว่าไม่มีเม็ดแป้งหลงเหลืออยู่จึงนำไปแช่พักในตู้เย็นประมาณ 30 นาที
ขั้นที่ 5
บรรจุครีมแพนเค้กใส่หลอดบีบ บีบเป็นแพนเค้ก 2 แผ่นบนกระทะ ปิดด้วยฝาหม้อ และปล่อยทิ้งไว้เวลา 5 นาทีที่อุณหภูมิไฟอ่อน เมื่อครบกำหนดจึงพลิกแพนเค้กชิ้นหนึ่งประกบกับอีกชิ้น ปล่อยทิ้งไว้เวลา 3 นาที พลิกด้านอีกครั้งและอบต่อไปด้วยระยะเวลาเท่าเดิม หลังจากนั้นจึงพักให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง
ขั้นที่ 6
ตั้งหม้อที่ไฟปานกลางเพื่อทำซอสโดยเติมราสป์เบอร์รี่ น้ำตาล เกลือ และเคี่ยวต่อไปประมาณ 10-15 นาทีจึงปิดไฟและเติมน้ำเลมอน หลังจากนั้นราดลงบนแพนเค้ก พร้อมเสิร์ฟ
#แพนเค้ก #ไม่ต้องพึ่งเตาอบ #กินอะไรดี